เทศน์เช้า

พรปี ๔๑

๑ ม.ค. ๒๕๔๑

 

พรปี ๔๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๑
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ปี ๔๑ เห็นไหม ปี ๔๑ ปี ๔๐ นี่สมบัติวัตถุมันเข้ากับวัตถุ สมบัติวัตถุมันเข้ากับร่างกาย แต่เวลาดูสิ นี่ดูเรา เห็นไหม ดูสัตว์สิ เวลามันได้กินอาหารมันจะดีใจ นี่หัวใจผู้รู้ไง สัตว์มันคิดไม่เป็น เราจะเทียบให้ดูว่าผู้รู้ ใจที่มันรับรู้ กับใจที่มีปัญญามันต่างกันไง

ใจที่มันรับรู้ เห็นไหม อย่างเด็กเล็กๆ ไร้เดียงสา เวลามันร้อนมันก็จะร้องไห้ เวลาเจ็บปวดมันก็จะร้องไห้ แล้วถ้าเราไปสมใจมันก็จะหัวเราะ แต่มันคิดอะไรไม่เป็น เวลามันไม่ได้อะไรมันก็ร้องไห้เพื่อจะประชด เพื่อจะเอา บังคับพ่อแม่ไง

นี่ธาตุรู้เฉยๆ รู้แบบยังไร้เดียงสาอยู่ แต่พอพุทโธ พุทโธให้ตัวนี้มันสงบลง สงบไม่ได้สงบแบบเด็กๆ นี่สงบแบบผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่มีปัญญา ผู้ใหญ่มีความเข้าใจ พอจิตมันสงบ ตัวนี้มันจะเริ่มมีความสุข พอเริ่มมีความสุข ตัวนี้มันจะมาใช้ปัญญาได้ไง ปัญญาภาวนามยปัญญา ปัญญาจากภายใน ปัญญาอบรมผู้รู้นี้ให้เข้าใจตามหลักความเป็นจริง

เราไม่ใช่ปฏิเสธโลก ปฏิเสธธุรกิจแบบทุบทิ้งนะ เราไม่ได้ปฏิเสธแบบว่าไม่สนใจเขา แต่ความเข้าใจรับรู้ เขายอมรับตามความเป็นจริงแล้วมันไม่ทุกข์ไง ยอมรับสภาวะตามความเป็นจริง รู้เท่าตามความเป็นจริง คือให้ปัญญาเกิด เราอบรมปัญญาให้เกิดจากใจไง ปัญญาตัวนี้มันจะเข้าใจว่าไอ้ที่ไปยึด ไปติด ไปคิด อันนั้นมันเพียงแค่อยู่อาศัย มันเป็นของไม่ควรจะไปยึดถือมั่น เราแค่อยู่อาศัยมันไง แต่หัวใจมันจะรู้ถึงปัญญาของเรา

ปัญญาของพระพุทธเจ้านะ ไม่ใช่ปัญญาทางโลก ปัญญาของพระพุทธเจ้า ปัญญาคือความรอบรู้ในกองสังขาร สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง ปัญญามันคุมไว้อีกทีหนึ่ง เห็นไหม แต่ปัญญาทางโลก นี่ปัญญาที่ใฝ่หามาเป็นปัญญาแบบนักโทษไง ปัญญาแบบศึกษาเล่าเรียนมา จำมาไง

เราจบดอกเตอร์สาขาใดมา มันก็จะมีความชำนาญทางสาขานั้น เพราะจำสาขานั้นมา สัญญาในกรอบของความจำอันนั้นไง คือว่าปัญญาในกรงขัง ในกรงขังคือกรอบความรู้ที่เราศึกษา แต่ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่การระเบิดออกมันเป็นธรรมจักร ธรรมจักรที่มันหมุนไปโดยธรรมชาติของมัน มันจะระเบิดออกไปได้ไง ความระเบิดออกอันนี้มันจะไปสอนให้ผู้รู้ที่ว่าไปติดยึดข้างนอก ที่ว่าให้เรามีความทุกข์ไง เห็นไหม

ถึงบอกว่าไม่ปฏิเสธปัจจัย ๔ นะ ไม่ปฏิเสธโลกธรรม แต่ปัญญาอบรมจนเข้าใจตามความเป็นจริงไง รับรู้ตามความเป็นจริง เห็นว่าเป็นไปตามสภาวะนั้น ไม่ใช่ว่าปัญญายึดไง ที่เราเห็นว่ามันเป็นไปแล้วเรายึดไง มันไม่รู้เท่าไง ความไม่รู้เท่า เห็นของไม่จริงเป็นของจริงไง เห็นของจริง จริงๆ ข้างในเป็นไม่จริงไง ถึงบอกว่าให้พรให้พรตรงนี้ไง ให้หาพุทโธ พุทโธเข้ามา ให้เอาพุทโธเข้ามา

จาก ๔๐ เห็นไหม อริยสัจ ๔ จิตนี้เป็นทุกข์ ทุกข์เพราะว่ามีสมุทัย ความไม่รู้เท่า เดินอริยมรรค เดินอริยมรรคเกิดนิโรธะความดับ ดับตามความเป็นจริงไง ความดับ ดับจากอวิชชาไม่ใช่ดับจากผู้รู้ ดับจากอวิชชา จิตนี้ผ่านอริยสัจออกมาไง อริยสัจ ๔ ไง ถึงว่าเป็น ๔๑ ไง ๔๑ ๔๒ ถึง ๔๙ ไง ๔๙ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ๙ ภพ พ้นออกไปหมดเป็นศูนย์ นี่ถ้าตรงนี้เราทำได้ ตรงนี้เราทำได้ถึงว่าให้พร ให้พรตรงนี้เลย พรที่แท้ พรที่จริง ไม่ใช่พรข้างนอก

มาขอพรกันเยอะ เมื่อวานก็มาหลายชุด เมื่อวานมาขอพรๆ ขอพรก็พรนี่แหละ ขอพรถ้าพอให้ไป เห็นไหม ที่พระว่าขอพร การขอพรกับทำพรขึ้นมาไง ธรรมะ ศาสนธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ที่ใจ พระธรรมคือคำสั่งสอน พระธรรมคือธรรมะ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระธรรมคือคำสั่งสอนมันมีอยู่จริงแล้ว พระพุทธเจ้ารู้ได้แล้วสอนออกมา พระธรรม

นี่พรทำให้ใจเป็นธรรมไง คือว่าเราเอาธรรม เอาพรเข้าใจเราเองไง เห็นไหม ศาสนธรรมคือพร คือคำบอกเล่า คือคำจริง คำจริงก็เป็นคำบอกเล่า มันก็เหมือนกับเราไปศึกษามาเป็นความจำ แต่จำในธรรมะไง โลกนี้เป็นสมมุติทั้งหมด ทฤษฎีต่างๆ มันเคลื่อนไปบ้าง ทฤษฎีต่างๆ แล้วอยู่ที่เวลาการกระทำด้วย แต่ศาสนธรรมนี้คงที่ความเป็นจริง แต่เราเข้าไม่ถึงไง เราเข้าถึงแค่คำบอกเล่า เข้าถึงแค่การศึกษามา แต่ใจนี้ยังไม่ได้สัมผัสไง ถ้าสัมผัสนั้นคือการขอพรแท้ไง

การเอาสิ่งนั้นเข้ามาสัมผัสใจ ใจสัมผัสกับสิ่งนั้น เป็นพรที่เราทำให้เกิดขึ้นจากใจเลย แล้วเป็นความสุขแท้ไง เป็นความสุขแท้ เป็นของแท้ เป็นที่ยึดหมายได้จริง จิตนี้คงที่ กับจิตนี้แปรปรวน จิตนี้แปรสภาพ น้ำไหลลงต่ำ น้ำไหลลงไปตลอด ไม่มีเกาะ ไม่มีแก่ง กับน้ำมีเขื่อนกั้น เห็นไหม มีเขื่อนกั้นน้ำไว้ชุ่มเย็นในบริเวณของเราเลย เพราะใจเข้าใจตามความเป็นจริง เข้าใจปัญญาตามความเข้าใจ จนถึงจุดแล้วปัญญาจะตัดขาดออกได้หมด อันนั้นเป็นพรจริงๆ เป็นพรแท้ของเรา

ถึงบอกว่าปี ๔๑ ไง ตั้งใจเลยวันที่ ๑ ๓๖๕ วันนะ ให้ได้หนึ่งไง ให้ติดเอาไว้ในใจ พอมันมีหนึ่งขึ้นมานี่มันเป็นที่อุ่นใจ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้ไง พอตนมีหลักใจ ตนมีเครื่องอยู่อาศัย ตนนี่แหละ

เมื่อก่อนเราหิวกระหาย เราวิ่งไปตลาดไปหาซื้อของ เห็นไหม ซื้อมาเพื่อมาปรุงมาแต่ง ปรุงเป็นอาหารขึ้นมาเพื่อจะกิน แล้วปัจจุบันนี้มันมีอยู่กับตัวตลอดเวลา ไม่ต้องวิ่งไปหาที่ไหนเลย การวิ่งไปหาก็เหมือนกับความคิดเราวิ่งออกไปหานี่แหละ อารมณ์วิ่งออกไป วิ่งตามความคิดออกไปตลอด พอวิ่งตามความคิดไปจนพอใจ กลับมามันก็พอใจว่าเราวิ่งไปแล้ว เห็นไหม

ก็เหมือนกับไปวิ่งหาอาหารมา กับมันอิ่มในตัวมันเองตลอดเวลา คือว่าถ้ามีหนึ่งขึ้นมามันเป็นที่พึ่งแห่งตนได้ไง นี่พรแท้ แล้วมันเป็นความจริงด้วย เพราะมันเป็นนามธรรมที่ฝังอยู่ในใจ เป็นทิพย์ไปพร้อมกับใจตลอด ใจเคลื่อนไปไหน ความคิดอันนี้ตามไปตลอด ติดกับใจไปตลอดเลย เป็นของที่พึ่งได้แท้จริง

ฉะนั้น ให้พรให้พรแบบนี้นะ ให้พรหามาให้ได้ เราให้พรตัวเราเองเลย ไปขอพรนี่ขอเป็นความชื่นใจ ขอเป็นความชื่นใจนะ ขอเป็นที่พึ่ง ธรรมดาคนเรามันเหงา มันว้าเหว่ไง มันต้องหาที่เกาะ นี่เกาะได้อยู่แล้ว แต่เกาะ เห็นไหม ฟังสิ อย่างเช่น หลวงตานี่ใครๆ ก็นิมนต์ไว้ให้อยู่ นิมนต์ไว้ให้อยู่ แล้วมันจะเป็นไปได้ไหม?

ได้! เราก็ว่าอยากนิมนต์ให้อยู่ เพราะหวังพึ่งไง แต่ความเป็นจริงคนก็ต้องยอมรับ ถึงจุดหนึ่งก็ต้องเป็นอย่างนั้นตามความเป็นจริง แต่ถ้ามันมีกับใจแล้วมันพึ่งใจตัวเองได้ไง ถึงบอกว่าหาที่พึ่งของตนให้เจอ กลางหัวใจนั่นแหละ หาเพชรลงบนหน้าผาก หาความจริงจากใจของเรา แล้วจะได้ตามความเป็นจริง ได้จริงๆ ขอให้ทำจริง แล้วได้จริงเลย (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)